مؤشرات داو جونز المستقبلية: دليل تداول السلع العالمية

ต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ และวิธีการนำไปใช้ในการสร้างกำไร บทความนี้จะนำคุณไปสำรวจประเภทของหุ้นฟิวเจอร์นี้ รวมถึงกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว และวิธีการบริหารความเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์: สินค้าทางการเงินที่สำคัญ

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีดาวโจนส์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ คือเครื่องมือทางการเงินที่อนุญาตให้นักลงทุนสามารถ “คาดการณ์” และเก็งกำไรจากมูลค่าของดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ในอนาคต สินค้าประเภทนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนทั้งหมด โดยการจัดกลุ่มดาวโจนส์ฟิวเจอร์เข้ากับตราสารอื่นๆ

นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะเทรดประเภทนี้เนื่องจากความสะดวกสบายและโอกาสในการทำกำไรจากความผันผวนของตลาด ดัชนีดาวโจนส์เป็นตัวแทนของเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง ทำให้มีผลต่อตลาดทั่วโลก

ความแตกต่างระหว่าง ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ และดัชนีดาวโจนส์

ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average)

ดัชนีดาวโจนส์คือดัชนีหุ้นที่ประกอบด้วยหุ้นของ 30 บริษัทที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา ดัชนีนี้สรุปผลประสิทธิภาพของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐและเป็นตัวชี้วัดสถานะเศรษฐกิจของประเทศ การเปลี่ยนแปลงในดัชนีสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางของตลาดและเศรษฐกิจทั่วไป

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ (Dow Jones Futures)

สินค้านี้เป็นสัญญาซื้อขายที่มีมูลค่าขึ้นอยู่กับผลของดัชนีดาวโจนส์ ซึ่งเป็นการเทรด “สัญญา” ในการส่งมอบหุ้นในอนาคต ไม่ใช่การซื้อขายหุ้นโดยตรง นักลงทุนสามารถเลือกเทรดเป็น หุ้นฟิวเจอร์ ที่อ้างอิงจากดัชนีดาวโจนส์ โดยลงทุนใช้เงินเริ่มต้นเพียงแค่จำนวนเล็กน้อย และยังมีเลเวอเรจสูงสุดถึง 1:200 ซึ่งช่วยให้กำไรได้มากขึ้นโดยใช้เงินจำนวนเดียวกัน แต่นักลงทุนก็มีความเสี่ยงขึ้นเช่นกัน

ประโยชน์ของการเทรด ดาวโจนส์ฟิวเจอร์

การป้องกันความเสี่ยง (Hedging)

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน การถือสินค้านี้ช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้นและตลาดแลกเปลี่ยนการเงิน

การทำนายทิศทางตลาด

การศึกษาและเทรด ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ สามารถให้คาดการณ์แนวโน้มของทิศทางที่ตลาดกำลังจะไป ทำให้นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรจากการทำนายทิศทางที่ถูกต้อง

ความสะดวกสบายในการเทรด

การซื้อขาย ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ทำให้สะดวกสบายสูงในการเทรดในเวลาที่เหมาะสม

ความผันผวนและโอกาสกำไร

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์มักมีความผันผวนสูง ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสทำกำไรสูง แม้ว่าความผันผวนนี้อาจทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นก็ตาม

วิธีการเทรด ดาวโจนส์ฟิวเจอร์

การเทรดดัชนี ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ คือการทำข้อตกลงระหว่าง 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดกำลังจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคาดการณ์ว่าจะลดลง เมื่อวันที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นสิ้นสุด ฝ่ายที่คาดการณ์ได้ถูกต้องจะได้รับเงิน ส่วนฝ่ายที่ผิดต้องจ่ายให้

ตัวอย่างการเทรด

สมมุติว่านักลงทุนตัดสินใจซื้อ (BUY) สัญญาดาวโจนส์ฟิวเจอร์ เมื่อดัชนีเท่ากับ 33,500 จุด โดยมีขนาดสัญญามาตรฐานที่ให้ท่านได้ 10 เท่า (ขึ้นอยู่กับเลเวอเรจ) ของจำนวนที่ได้หรือเสีย

หากถึงวันกำหนดชำระและดัชนีดาวโจนส์มีมูลค่า 34,000 จุด มูลค่าสัญญาจะเพิ่มขึ้น 500 USD ซึ่งเมื่อคูณด้วย 10 เท่า นักลงทุนจะได้กำไร (500x10) = 5,000 USD

ตรงกันข้าม หากมูลค่าดัชนีดาวโจนส์ลดลงเป็น 33,200 จุด นักลงทุนต้องขาดทุน 3,000 USD เนื่องจาก (300x10) = 3,000 USD

3 เทคนิคเทรดดาวโจนส์ฟิวเจอร์อย่างมืออาชีพ

1. ใช้ตัวเลขเศรษฐกิจในการวางแผนการเล่น

การเทรดโดยใช้ตัวเลขพื้นฐานทางเศรษฐกิจหมายถึงการใช้ข้อมูลเช่น ตัวชี้วัดเศรษฐกิจ อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย เพื่อวิเคราะห์และตัดสินใจในการเทรด ตัวเลขเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานะเศรษฐกิจและช่วยทำนายทิศทางตลาด

ตัวเลขพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญ:

• Gross Domestic Product (GDP): ตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงมูลค่าทั้งหมดของสินค้าและบริการที่ผลิตในเศรษฐกิจของประเทศ การเปลี่ยนแปลงใน GDP สามารถบ่งบอกถึงการเจริญหรือทรุดตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจมีผลต่อตลาดหลักทรัพย์

• Unemployment Rate (อัตราการว่างงาน): แสดงถึงสัดส่วนของแรงงานที่ไม่ได้ทำงาน การทำงานของตลาดหลักทรัพย์สามารถมีผลต่ออัตราการว่างงานและแกว่งไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจ

• Inflation Rate (อัตราเงินเฟ้อ): บ่งบอกถึงความแข็งแรงของเศรษฐกิจ ควรอยู่ในตัวเลขที่เหมาะสม

เมื่อดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 100 จุด ก่อนการเปิดเผยตัวเลข GDP ประจำไตรมาส นักลงทุนสามารถรอจังหวะที่จะเล่นฝั่ง Sell หรือ Short position เพื่อทำกำไรในฝั่งขาลง

2. ใช้แนวรับแนวต้านในการวางแผนจุดเข้าออก

แนวรับ (Support) คือจุดที่กราฟกลับตัว หรือจุดที่ราคาเคยต่ำที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่จุดนี้ มักจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา ทำให้ราคาดีดตัวขึ้น แนวรับจึงเป็นจุดที่น่าซื้อเพื่อทำกำไรในอนาคต

แนวต้าน (Resistance) คือจุดที่ราคาเคยสูงสุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่จุดนี้ ราคามักจะอ่อนตัวลง เนื่องจากมีโอกาสที่ขายทำกำไร แนวต้านจึงเป็นจุดที่นักลงทุนจะชะลอการลงทุนและเตรียมขายเพื่อทำกำไร

ตัวอย่าง: จากกราฟดาวโจนส์ฟิวเจอร์ มีแนวรับที่บริเวณ 34,000 จุด ซึ่งเป็นโซนแนวรับที่สำคัญ หากนักลงทุนเทรดฝั่ง Buy ที่แนวรับนี้ เมื่อราคาขึ้นตามคาดการณ์จะกำไร ถ้าราคาไม่สามารถยืนและหลุดแนวรับ นักลงทุนต้องตัดขาดทุน

3. ใช้เลเวอเรจและบริหารเงินทุนอย่างฉลาด

การเทรด ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ มีการใช้ตัวคูณดัชนี (Multiplier) ซึ่งทำให้นักเทรดได้เลเวอเรจมากขึ้นและขยายโอกาสในการทำกำไร โดยสามารถใช้เลเวอเรจ 1 ต่อ 10 ขึ้นไป

Money Management (MM) คือการจัดการเงินทุนเพื่อให้การเทรดมีระบบและหลักการ ซึ่งจะทำให้พอร์ตมีความปลอดภัยมากขึ้น มี 2 วิธี:

• วิธีถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง: กำหนดเงินที่จะลงทุนตาม Risk & Reward (RR) เช่น RR ที่ 2 ต่อ 1 หมายถึง วางเป้ากำไร 200 USD แต่ให้ขาดทุนที่ 100 USD เท่านั้น

• วิธีกฎ 2%: กำหนดการขาดทุนของพอร์ตไว้ที่ 2% และหาจำนวนเงินลงทุนจากจำนวนเงินที่เรายอมขาดทุนได้

บทสรุป

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์เป็นสินค้าที่ชื่นชอบของนักลงทุนที่ชอบความผันผวน และสามารถลดความเสี่ยงจากการเทรดคู่เงินหรือหุ้นอื่นๆ โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐมีปัจจัยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเข้ามา

นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมของ ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่ออาศัยความผันผวนและกลยุทธ์ที่เหมาะสมช่วยให้ทำกำไรอีกทางหนึ่งในพอร์ตการลงทุน ด้วยความรู้และการบริหารความเสี่ยงที่ดี นักลงทุนจะสามารถเทรด หุ้นฟิวเจอร์ ได้อย่างมั่นใจและสม่ำเสมอ