## เมื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์พูดถึง EBITDAวอร์เรน บัฟเฟตต์ เทพมังกรด้านการลงทุน ตั้งคำถามใหญ่กับตัวชี้วัดทางการเงินอย่าง EBITDA หากจะกล่าวง่าย ๆ คำวิจารณ์ของเขาคือ: ตัวเลขนี้ไม่ได้เล่าเรื่องจริงๆ ของบริษัทเลยแต่ทำไมสถาบันลงทุนหลายแห่ง ยังคงดูค่า EBITDA อย่างใกล้ชิด? คำตอบอยู่ในการเข้าใจสิ่งที่มันพยายามบอกเรา และหลักเหตุผลเบื้องหลังการใช้งาน## EBITDA คืออะไร: ความหมายและบริบท**EBITDA ย่อมาจาก Earnings Before Interest, Tax, Depreciation, and Amortization** ซึ่งแปลตรงตัวคือ "กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย"ในทางปฏิบัติ EBITDA นั้นคือการบริหารตัวเลขเพื่อแสดง "เงินสดที่ธุรกิจสร้างได้จากการดำเนินการหลัก" โดยไม่ยุ่งกับเรื่องการเงิน นโยบายภาษี และสินทรัพย์ที่ใช้งานบริษัทที่มักเน้นตัวเลข EBITDA ได้แก่ Tesla, SEA Group และสตาร์ทอัพต่าง ๆ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? เพราะธุรกิจเหล่านี้ยังคงขาดทุนในระดับ Net Income แต่ EBITDA ของพวกเขาสวยงาม## วิธีคำนวณ EBITDA: จากสูตรไปถึงตัวเลขจริงสูตรพื้นฐานมี 2 แบบ:**วิธีที่ 1:** EBITDA = กำไรก่อนภาษี + ดอกเบี้ย + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย**วิธีที่ 2:** EBITDA = EBIT + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย### ตัวอย่างการคำนวณ: บริษัท THAI PRESIDENT FOODS (ปี 2563)หากเราหยิบข้อมูลจากงบการเงิน:- กำไรก่อนภาษี: 5,997,820,107 บาท- ต้นทุนทางการเงิน: 2,831,397 บาท- ค่าเสื่อมราคา: 1,207,201,652 บาท- ค่าตัดจำหน่าย: 8,860,374 บาท**การคำนวณ:**EBITDA = 5,997,820,107 + 2,831,397 + 1,207,201,652 + 8,860,374 = **7,216,713,530 บาท**ตัวเลขนี้สูงกว่า Net Income มาก เพราะมันไม่ได้หักค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณของการจัดการทุนที่อ่อนแอ## ตำแหน่ง EBITDA ในงบการเงิน: ค้นหาตัวเลขในที่ใดส่วนใหญ่บริษัทไม่ได้เขียน EBITDA ไว้โดยชัดแจ้งในงบการเงินปกติ แต่บางแห่ง เช่น MINOR INTERNATIONAL จะแสดงไว้ในรายงานประจำปีถ้าหากไม่เห็นในรายงาน ไม่ต้องห่วง คุณสามารถคำนวณเองจากตัวเลขพื้นฐานที่อยู่ในงบการเงินได้ทั้งหมด## การใช้ EBITDA ในการตัดสินใจลงทุนEBITDA มีประโยชน์ในบริบทเฉพาะเจาะจง:**จุดที่ EBITDA ใช้ได้:**- เปรียบเทียบบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน- ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ (ยิ่งสูงยิ่งดี)- ดูความแรงของการดำเนินการในช่วงระยะสั้น (1-2 ปี)**ข้อจำกัด:**- ไม่ควรใช้สำหรับการวิเคราะห์ระยะยาว- ละเลยปัญหาสภาพคล่อง (Liquidity)- สามารถปรับแต่งให้ดูดีกว่าความจริงได้## EBITDA Margin: ตัวเลขดีเพียงไหน?**สูตร:** EBITDA Margin = (EBITDA / รายได้รวม) × 100**มาตรฐานที่ดี:** มากกว่า 10% ถือว่าเพียงพอ ยิ่งสูงยิ่งบ่งบอกว่าบริษัทบริหารจัดการได้เก่งและมีความเสี่ยงน้อยกว่า## EBITDA vs Operating Income: ความแตกต่างที่ลึกลงไป| ประเด็น | EBITDA | Operating Income ||---------|--------|------------------|| **ความหมาย** | กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี และค่าตัดจำหน่าย | กำไรจากการดำเนินงานหลัก || **การคำนวณ** | กำไรก่อนภาษี + ดอกเบี้ย + ค่าเสื่อมฯ + ค่าตัดฯ | รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน || **การยอมรับ** | ไม่ใช่มาตรฐาน GAAP | เป็นมาตรฐาน GAAP อย่างเป็นทางการ || **การหักค่าใช้จ่าย** | ไม่หักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย | หักค่าใช้จ่ายการดำเนินงานทั้งหมด |**ความแตกต่างหลัก:** EBITDA เหมือนเป็นการ "ลบหนี้" บางอย่างเพื่อแสดงภาพที่ดีกว่า ขณะที่ Operating Income นั้นค่อนข้างจริงตัวมากกว่า## ข้อเตือนที่นักลงทุนต้องรู้### 1. EBITDA สามารถเป็นตัวเลขที่ถูกปรับแต่งการบวกค่าเสื่อมราคากลับเข้าไปสามารถเป็นเครื่องมือปรับตัวเลขให้ดูสวย ๆ ได้ บริษัทบางแห่งใช้สิ่งนี้เพื่อโปรแกรมการนำเสนอที่ดีแล้ว### 2. อาจซ่อนปัญหาที่แท้จริงบริษัทอาจมีหนี้พูบโพล่ หรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ EBITDA ยังคงดูสูงไม่ร้องขอ ทำให้นักลงทุนมองข้ามสัญญาณอันตราย### 3. ไม่ได้บอกเรื่องสภาพคล่องจริง ๆเนื่องจาก EBITDA ไม่นับสิ่งต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ย ภาษี และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ มันจึงไม่ได้บ่งบอกว่าบริษัทมีเงินสดจริง ๆ เหลือเท่าไหร่ นี่คือจุดที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่พอใจมากที่สุด## สรุป: EBITDA ควรใช้อย่างไร**EBITDA เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด**ใช้เป็นตัวบ่งชี้เสริมในการเปรียบเทียบบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือวิเคราะห์ระยะสั้น แต่อย่าไว้ใจมากเกินไปนักลงทุนที่ฉลาด (และนักลงทุนสุดยอดอย่าง Warren Buffett) จะดู EBITDA ควบคู่กับ Cash Flow, Net Income, และปัจจัยอื่น ๆ ก่อนทำการตัดสินใจ เพราะในที่สุดแล้ว เงินสดที่แท้จริงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
EBITDA ليست كل شيء: لماذا لا يهتم بافيت ولكن المستثمرون بحاجة إلى المعرفة؟
เมื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์พูดถึง EBITDA
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เทพมังกรด้านการลงทุน ตั้งคำถามใหญ่กับตัวชี้วัดทางการเงินอย่าง EBITDA หากจะกล่าวง่าย ๆ คำวิจารณ์ของเขาคือ: ตัวเลขนี้ไม่ได้เล่าเรื่องจริงๆ ของบริษัทเลย
แต่ทำไมสถาบันลงทุนหลายแห่ง ยังคงดูค่า EBITDA อย่างใกล้ชิด? คำตอบอยู่ในการเข้าใจสิ่งที่มันพยายามบอกเรา และหลักเหตุผลเบื้องหลังการใช้งาน
EBITDA คืออะไร: ความหมายและบริบท
EBITDA ย่อมาจาก Earnings Before Interest, Tax, Depreciation, and Amortization ซึ่งแปลตรงตัวคือ “กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย”
ในทางปฏิบัติ EBITDA นั้นคือการบริหารตัวเลขเพื่อแสดง “เงินสดที่ธุรกิจสร้างได้จากการดำเนินการหลัก” โดยไม่ยุ่งกับเรื่องการเงิน นโยบายภาษี และสินทรัพย์ที่ใช้งาน
บริษัทที่มักเน้นตัวเลข EBITDA ได้แก่ Tesla, SEA Group และสตาร์ทอัพต่าง ๆ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? เพราะธุรกิจเหล่านี้ยังคงขาดทุนในระดับ Net Income แต่ EBITDA ของพวกเขาสวยงาม
วิธีคำนวณ EBITDA: จากสูตรไปถึงตัวเลขจริง
สูตรพื้นฐานมี 2 แบบ:
วิธีที่ 1: EBITDA = กำไรก่อนภาษี + ดอกเบี้ย + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
วิธีที่ 2: EBITDA = EBIT + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
ตัวอย่างการคำนวณ: บริษัท THAI PRESIDENT FOODS (ปี 2563)
หากเราหยิบข้อมูลจากงบการเงิน:
การคำนวณ: EBITDA = 5,997,820,107 + 2,831,397 + 1,207,201,652 + 8,860,374 = 7,216,713,530 บาท
ตัวเลขนี้สูงกว่า Net Income มาก เพราะมันไม่ได้หักค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณของการจัดการทุนที่อ่อนแอ
ตำแหน่ง EBITDA ในงบการเงิน: ค้นหาตัวเลขในที่ใด
ส่วนใหญ่บริษัทไม่ได้เขียน EBITDA ไว้โดยชัดแจ้งในงบการเงินปกติ แต่บางแห่ง เช่น MINOR INTERNATIONAL จะแสดงไว้ในรายงานประจำปี
ถ้าหากไม่เห็นในรายงาน ไม่ต้องห่วง คุณสามารถคำนวณเองจากตัวเลขพื้นฐานที่อยู่ในงบการเงินได้ทั้งหมด
การใช้ EBITDA ในการตัดสินใจลงทุน
EBITDA มีประโยชน์ในบริบทเฉพาะเจาะจง:
จุดที่ EBITDA ใช้ได้:
ข้อจำกัด:
EBITDA Margin: ตัวเลขดีเพียงไหน?
สูตร: EBITDA Margin = (EBITDA / รายได้รวม) × 100
มาตรฐานที่ดี: มากกว่า 10% ถือว่าเพียงพอ ยิ่งสูงยิ่งบ่งบอกว่าบริษัทบริหารจัดการได้เก่งและมีความเสี่ยงน้อยกว่า
EBITDA vs Operating Income: ความแตกต่างที่ลึกลงไป
ความแตกต่างหลัก: EBITDA เหมือนเป็นการ “ลบหนี้” บางอย่างเพื่อแสดงภาพที่ดีกว่า ขณะที่ Operating Income นั้นค่อนข้างจริงตัวมากกว่า
ข้อเตือนที่นักลงทุนต้องรู้
1. EBITDA สามารถเป็นตัวเลขที่ถูกปรับแต่ง
การบวกค่าเสื่อมราคากลับเข้าไปสามารถเป็นเครื่องมือปรับตัวเลขให้ดูสวย ๆ ได้ บริษัทบางแห่งใช้สิ่งนี้เพื่อโปรแกรมการนำเสนอที่ดีแล้ว
2. อาจซ่อนปัญหาที่แท้จริง
บริษัทอาจมีหนี้พูบโพล่ หรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ EBITDA ยังคงดูสูงไม่ร้องขอ ทำให้นักลงทุนมองข้ามสัญญาณอันตราย
3. ไม่ได้บอกเรื่องสภาพคล่องจริง ๆ
เนื่องจาก EBITDA ไม่นับสิ่งต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ย ภาษี และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ มันจึงไม่ได้บ่งบอกว่าบริษัทมีเงินสดจริง ๆ เหลือเท่าไหร่ นี่คือจุดที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่พอใจมากที่สุด
สรุป: EBITDA ควรใช้อย่างไร
EBITDA เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด
ใช้เป็นตัวบ่งชี้เสริมในการเปรียบเทียบบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือวิเคราะห์ระยะสั้น แต่อย่าไว้ใจมากเกินไป
นักลงทุนที่ฉลาด (และนักลงทุนสุดยอดอย่าง Warren Buffett) จะดู EBITDA ควบคู่กับ Cash Flow, Net Income, และปัจจัยอื่น ๆ ก่อนทำการตัดสินใจ เพราะในที่สุดแล้ว เงินสดที่แท้จริงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด