Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Ketika Inflasi Tiba: Memahami Kondisi Ekonomi yang Berubah
สินค้ามีราคาแพงขึ้น เงินของเรากำลังเสียคุณค่า การซื้อของชิ้นเดิมต้องใช้เงินมากขึ้น นี่คือสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เงินเฟ้อ กำลังอยู่รอบตัวเรา บทความนี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจภาวะเศรษฐกิจสำคัญนี้ และวิธีปรับตัวเพื่อให้ผลกระทบต่อเงินของคุณลดน้อยที่สุด
เงินเฟ้อคืออะไร เห็นได้จากไหน
เงินเฟ้อ (Inflation) เป็นปรากฏการณ์ที่ระดับราคาสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในมุมมองอีกด้าน มันคือการที่มูลค่าเงินลดต่ำลง ทำให้เวลาที่ผ่านไป เงินของคุณซื้อสิ่งของได้น้อยลง
ยกตัวอย่าง: เมื่อ 30 ปีที่แล้ว 50 บาทซื้อข้าวได้จานแน่น แต่วันนี้ซื้อได้เพียงจานเดียว และในอีก 30 ปีข้างหน้า ราคาข้าวจะสูงขึ้นเป็นสองเท่า เงินเฟ้ออย่างนี้มีผลกระทบต่อแผนการเงิน และการลงทุนของทุกคน
ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์จาก เงินเฟ้อ
ผู้ที่ได้เปรียบในภาวะเงินเฟ้อ:
ผู้ที่เสียเปรียบ:
ทำไมเงินเฟ้อถึงเกิดขึ้น 3 สาเหตุหลัก
1. Demand Pull Inflation – ความต้องการมากกว่าผลิตได้
เศรษฐกิจฟื้นตัว ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อมากขึ้น แต่อุตสาหกรรมยังผลิตสินค้าไม่ทัน ภาวะ “revenge spending” (การซื้อสะสม) หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้ขายมีโอกาสขึ้นราคา
2. Cost Push Inflation – ต้นทุนการผลิตพุ่งสูง
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกแพงขึ้น เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองแดง ผู้ผลิตจึงต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น และถ่ายทอดให้ผู้บริโภค
ตัวอย่างจริง: ในช่วงปี 2020 ราคาน้ำมันดิบตกต่ำเป็นประวัติการณ์ แต่เมื่อเศรษฐกิจเปิดตัวใหม่ ราคาพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
3. Printing Money Inflation – รัฐบาลพิมพ์เงินมากเกินไป
เมื่อเงินเหลือเฟือในระบบเศรษฐกิจ แต่สินค้าไม่เพิ่มมากขึ้น ราคาจะสูงตามทฤษฎีอุปทานและอุปสงค์
ข้อจำกัดในอุปทาน (Supply Chain Disruption) เป็นปัญหาเพิ่มเติม: ขาดชิปเซมิคอนดักเตอร์ ขาดตู้คอนเทนเนอร์ขนส่ง ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์พุ่งสูง
เงินเฟ้อในประเทศไทย: มองย้อนหลังและปัจจุบัน
ไทยเคยสัมผัสเงินเฟ้อสูงถึง 24.3% ในปี 2517 เนื่องจากวิกฤติน้ำมันโลก เหตุการณ์สำคัญอีกครั้งคือปี 2540-2541 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาบาทอ่อนค่า ส่งให้เงินเฟ้อสูง 7.89%
ล่าสุด ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อยู่ที่ 110.3 เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบปีต่อปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงเหลือ 1.11% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 35 เดือน เหตุเดือนมกราคม 2567 พิเศษ เพราะ:
เมื่อเทียบกับปี 2566 ราคาสินค้าประเภทต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลง:
เงินเฟ้อกับเงินฝืด: ตรงข้ามแต่เหมือนกันเสียหน้า
เงินฝืด (Deflation) เป็นสถานการณ์ตรงกันข้าม ระดับราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้:
ทั้งสองภาวะถ้ารุนแรง จะทำให้เศรษฐกิจและชีวิตประชาชนเดือดร้อน
ผลกระทบของเงินเฟ้อต่อชีวิตเรา
ผู้บริโภค: ค่าครองชีพพุ่งสูง
ผู้ประกอบการ: การโต้ตัวได้ยาก
ประเทศชาติ: GDP โตช้า
ปัจจุบันไทยยังไม่เข้าสู่ Stagflation แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
วิธีปรับตัวกับเงินเฟ้อ 4 ขั้นตอน
1. วางแผนการลงทุน ไม่ใช่เก็บเงิน
ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ เงินลงทุนจึงเสื่อมค่าเรื่อย ๆ ควรนำเงินไปลงทุน:
2. หลีกเลี่ยงหนี้ที่ไม่จำเป็น
3. เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง
4. ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ
เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย สัญญาณเศรษฐกิจต่างโลก ล้วนส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของคุณ
ลงทุนอะไรในยุคเงินเฟ้อ
หุ้นธนาคาร: ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น
เมื่อธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ย ธนาคารพาณิชย์ได้เบี้ยสูงขึ้น ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรและเงินปันผลเพิ่มขึ้น
หุ้นประกัน: ลงทุนพันธบัตรรัฐบาลคุ้ม
บริษัทประกันลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารหนี้อยู่แล้ว เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น รายได้จากการลงทุนเพิ่มขึ้น
หุ้นอาหาร: สิ่งจำเป็นที่ต้องรับผลกระทบเงินเฟ้อ
เงินฝาก ดอกเบี้ยสูง
ทองคำเทรด CFD: เก็งกำไรขาขึ้นและขาลง
ตัวอย่างการทำกำไรจากเงินเฟ้อ: บริษัท ปตท.
ในครึ่งปีแรกปี 2565 ราคาน้ำมันพุ่งสูง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทในกลุ่มได้รายได้ 1,685,419 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64,419 ล้านบาท เติบโต 12.7% เมื่อเทียบปีต่อปี
ดังนั้น หาก “เงินเฟ้อเกิดขึ้น ธุรกิจบางรายสามารถสร้างกำไรมหาศาล” ผู้ลงทุนอัจฉริยะจึงเลือกหุ้นเหล่านั้น
สรุป: เงินเฟ้อไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเกม
เงินเฟ้อ ถูกมองว่าเป็นภาวะลบของเศรษฐกิจ แต่จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับว่าคุณปรับตัวเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ
ผู้ชนะ: นักลงทุน พ่อค้า บริษัทที่เคลื่อนไหวเร็ว ผู้แพ้: ผู้ที่เก็บเงินสด ผู้ที่มีหนี้เสีย พนักงานที่เงินเดือนไม่เพิ่ม
หากอัตราเงินเฟ้อสมดุล (ประมาณ 2-3% ต่อปี) จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต แต่ถ้าเงินเฟ้อเกิน 7% หรือเข้าสู่ Hyper Inflation ก็จะเป็นหายนะ
คำแนะนำสุดท้าย: ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ปรับแผนการเงินตามสถานการณ์ และอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในแต่ละสถานการณ์ เพราะเศรษฐศาสตร์นั้นมีเกมที่ซ่อนอยู่มากมายสำหรับผู้ที่เฉียบคม