Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
Filosofia da economia suficiente: embora seja verdade que "suficiente" seja a resposta à segurança
ในโลกที่คนรุ่นใหม่ตามหลังการบริโภคสูง และเศรษฐกิจโลกสั่นคลอน หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) กลับยังคงมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอยู่
ต้นกำเนิดและวัตถุประสงค์ของปรัชญาพอเพียง
ความคิดเรื่องการดำรงชีวิตแบบพอประมาณนั้นเกิดขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ประทานพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นิสิตแล้วเห็นว่าการพัฒนาประเทศไทยนั้นต้องหลีกหนีจากวงจรของการกู้ยืมอย่างไม่มีขีดจำกัด และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สูญเสียจากการทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมลง
ตามยุคสมัยนั้น ประเทศไทยใช้กลยุทธ์หนี้ต่างประเทศเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรม แต่สิ่งนั้นส่งผลให้บุคคลนั้นต้องพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสาเหตุให้พื้นที่ป่าถูกทำลาย และความเหลื่อมล้ำทางรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พระองค์ท่านจึงได้ชี้นำให้คนไทยคิดถึงการสร้างความพอมี พอกิน พอใช้ขึ้นมาแทน
ปี พ.ศ. 2540 เมื่อวิกฤตต้มยำกุ้งมาถึง ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้เข้าใจความสำคัญของปรัชญาดังกล่าวอย่างลึกซึ้งมากขึ้น และหลายคนเริ่มสนใจที่จะปรับใช้กรอบแนวคิดนี้ในชีวิตประจำวัน ในปี พ.ศ. 2549 องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา (Developer King) และมอบรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ให้แด่พระองค์ท่าน
ความหมายที่แท้จริงของ “เศรษฐกิจพอเพียง”
หากอธิบายอย่างตรงไปตรงมา เศรษฐกิจพอเพียง ก็คือการจัดการระบบการผลิตและการบริโภคให้อยู่ในสภาวะสมดุล ไม่ใช่การยึดมั่นในการเพิ่มผลกำไรอย่างไม่จำกัด หรือการใช้จ่ายสิ้นสุดจนกู้ยืมอื่น
แนวคิดนี้สามารถนำไปใช้ได้ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับสถาบันครอบครัว ระดับชุมชน ไปจนถึงระดับภาครัฐ วัตถุประสงค์หลักคือให้ประชาชนทั้งหมดสามารถพึ่งพาตนเองและไม่ขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือจากที่อื่น พร้อมทั้งมีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมได้อย่างชาญฉลาด
นิยามของคำว่า “พอเพียง” ประกอบไปด้วย ความพอประมาณในการกระทำ ความมีสติและการใช้เหตุผล รวมถึงความสำเร็จในการสร้างระบบป้องกันภัยที่มีประสิทธิภาพ นี่คือสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจพอเพียงสอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายของประชาชนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เสาหลักของปรัชญาพอเพียง: 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
ความลึกซึ้งของแนวคิดนี้อยู่ที่การผสมผสาน 3 ห่วง (Three Rings) กับ 2 เงื่อนไข (Two Conditions) ซึ่งรวมกันแล้วกลายเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์
3 ห่วง: รากฐานของการดำรงชีวิตแบบสมดุล
ห่วงแรก - ความพอประมาณ
หมายถึงการกำหนดเป้าหมายและการตัดสินใจที่เหมาะสมกับฐานะตัวเอง สำหรับผู้ประกอบการ คือการสร้างรายได้ด้วยวิธีสุจริต ไม่คดโกง ไม่บีบคั้นผู้อื่น สำหรับผู้บริโภค คือการใช้จ่ายเงินตามสมควร ไม่ฟุ่มเฟือยจนต้องกู้ยืม และสำหรับการบริหารจัดการกิจการ คือการรักษาอัตรากำไรให้เหมาะสมพอ ไม่โลภมากเกินไป
ห่วงที่สอง - ความมีเหตุผล
ก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใดก็ตาม ต้องมีการคิด วิเคราะห์ และวางแผนให้ชัดเจน ไม่ควรตัดสินใจตามอารมณ์หรือการมองข้ามปัจจัยสำคัญ การรู้จักศักยภาพของตนเอง การทำความเข้าใจตลาด และการเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามห่วงนี้
ห่วงที่สาม - การมีระบบป้องกันภัย
ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ดังนั้นการสร้างความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดจึงมีความสำคัญยิ่ง วิธีการนี้รวมถึงการออมเงิน การสร้างเครือข่ายสังคม การกระจายความเสี่ยง และการพัฒนาทักษะให้หลากหลาย เพื่อที่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เราสามารถปรับตัวและดำเนินชีวิตต่อไปได้
2 เงื่อนไข: ตัวจับยึดของการดำเนินชีวิตพอเพียง
เงื่อนไขแรก - ความรู้
ไม่ว่าจะเป็นความรู้จากการศึกษา ประสบการณ์ของตัวเอง หรือการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อมีความรู้ที่เพียงพอแล้ว เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ช่วยให้วางแผนได้ดี แก้ไขปัญหาได้อย่างฉลาด และสร้างระบบป้องกันภัยให้แก่ตัวเอง
เงื่อนไขที่สอง - คุณธรรม
คุณธรรมคือพื้นฐานของการกระทำที่ถูกต้อง ความเป็นธรรม ความขยัน ความซื่อสัตย์ และความรับผิดชอบ เมื่อนำเงื่อนไขนี้มาผสมผสานกับความรู้ คนเราจะสามารถสร้างสิ่งดีงามและยั่งยืนได้
การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้: ตัวอย่างจริง
ในภาคการเกษตร
1) ระบบนาสวนผสม (Mixed Farming)
แทนที่จะเพาะปลูกเพียงพืชเดียวอย่างเดิม เกษตรกรจึงหันมาใช้ระบบที่หลากหลาย ปลูกข้าวในนาหลัก ปลูกผักสวนครัว ขุดสระเลี้ยงปลา และเลี้ยงสัตว์บริเวณรอบ ๆ บ้าน
ข้อดีของวิธีนี้คือ ลดความเสี่ยงจากโรคพืชหรือภัยแล้ง กระจายการเก็บเกี่ยวตลอดปี สร้างรายได้หลายชนิด และยังสามารถออมรายได้สำหรับการใช้ในช่วงฤดูท้องในหนึ่งปี
2) ระบบเกษตรทฤษฎีใหม่
ระบบการจัดการที่เกษตรกรแบ่งพื้นที่ดินออกตามสูตรทางวิทยาศาสตร์ (สูตร 30:30:30:10) เพื่อให้มีการผลิตที่เหมาะสมและยั่งยืน พื้นที่ 30% เพาะปลูกข้าว, 30% ปลูกพืชอาหาร, 30% เลี้ยงสัตว์, 10% ปลูกไม้หรือปล่อยให้เป็นป่า
ระบบนี้สามารถพัฒนาเป็นสามขั้น คือ ขั้นพื้นฐาน (เพื่อพึ่งพาตนเอง), ขั้นก้าวหน้า (ร่วมมือกันในกลุ่มสร้างตลาด), และขั้นที่สาม (สร้างเศรษฐกิจชุมชนแบบเต็มตัว)
ในภาคธุรกิจและการค้า
ผู้ประกอบการที่ยึดหลักพอเพียงจะ:
วิธีการนำหลักพอเพียงเข้าสู่ชีวิตประจำวัน
สำหรับบุคคลทั่วไป และครอบครัว สามารถเริ่มต้นได้จาก:
ความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงในยุคปัจจุบัน
หลังจากมากกว่า 30 ปีของการส่งเสริมและการนำแนวคิดนี้ไปใช้ เราสามารถเห็นได้ว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงแนวคิดเก่า ๆ ที่ล้าสมัย แต่เป็นทฤษฎีที่สอดคล้องกับแนวคิด “Sustainable Development Goals” ของสหประชาชาติ
ในโลกที่เศรษฐกิจนั้นไม่มีเสถียรภาพ มีการเปลี่ยนแปลงตลาดหลายครั้ง มีความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น และเรามีความกังวลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม แนวทางการดำรงชีวิตแบบพอเพียงกลับกลายเป็นที่อ้างอิงอีกครั้ง
เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้หมายความว่า “อยู่เฉพาะ” หรือ “ไม่พัฒนา” แต่คือการเลือกที่จะพัฒนาตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศในแบบที่สมดุล ยั่งยืน โดยไม่ทำให้ผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อมเสียหาย
สรุป
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นกรอบแนวคิดสำคัญที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกรูปแบบของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร การค้า การอุตสาหกรรม การเงิน หรือแม้แต่การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ เพียงแต่ยึดหลักการดำเนินชีวิตตามทางสายกลาง
ที่สำคัญที่สุด คือการเข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียง ต้องการให้เรารู้จักใช้ชีวิตภายใต้ทรัพยากรที่มี พัฒนาตนเองให้แข็งแกร่ง เมื่อเกิดวิกฤต เราก็สามารถรับมือได้ด้วยตัวเอง
สำหรับประเทศไทยที่มีอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก การให้ความสำคัญต่อพัฒนาการของภาคเกษตรในระยะยาวจึงเป็นหน้าที่ของทุกส่วน ท้ายสุดนี้ คำว่า “พอ” อาจดูเรียบง่าย แต่ความลึกซึ้งของมัน กลับช่วยให้เราสามารถมีชีวิตที่มั่นคงและสมดุลได้